ช่วงนี้เป็นอย่างไรกันบ้างคะผู้อ่านทุกท่าน เชื่อว่าตอนนี้หลายท่านอาจจะรู้สึกเบื่ออยู่บ้าง เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงปิดเทอมก็ตาม แต่เนื่องด้วยสถานการณ์โควิดที่ระบาดในขณะนี้ ทำให้ผู้อ่านจำเป็นที่จะต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในบริเวณบ้าน ดังนั้นทางผู้เขียนจึงไม่รีรอที่จะเขียนแนะนำอาจารย์จากคณะศึกษาศาสตร์ท่านต่อไป และในวันนี้ก็คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิชัยณรงค์ กงแก้ว
เรามาดูประวัติการศึกษาของอาจารย์พิชัยณรงค์ กันก่อนนะคะ โดยท่านจบการศึกษาปริญญาตรีพลศึกษา จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปริญญาโทวิทยาศาสตร์การกีฬา จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และปริญญาเอกการศึกษา แขนงการจัดการกีฬา จากมหาวิทยาลัยนเรศวร
อาจารย์พิชัยณรงค์เล่าว่า เริ่มสอนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 ซึ่งในขณะนั้นอาจารย์ยังเป็นนักศึกษาปริญญาโทอยู่ จนสำเร็จการศึกษาเมื่อปี พ.ศ.2545 แต่ก็ยังไม่ได้บรรจุที่มหาลัยวิทยาลัยเชียงใหม่ เนื่องด้วยติดปัญหาตรงที่ยังไม่มีตำแหน่งว่างและทางมหาลัยวิทยาลัยเชียงใหม่ต้องการผู้ที่จบการศึกษาปริญญาเอก ด้วยความมุ่งมั่นของอาจารย์ที่อยากจะกลับมาสอนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่แห่งนี้ จึงได้ไปเรียนต่อในระดับปริญญาเอก จนสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ.2553 จากนั้นอาจารย์จึงได้รีบกลับมาสมัครงานที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อาจารย์เล่าด้วยความสนุกสนานว่า “ตอนนั้นทางนู้นยังไม่ได้แต่งตั้งเป็นด็อกเตอร์เลย แต่อาจารย์ก็รีบมาสมัครงานที่นี่ทันที”
นอกจากนี้อาจารย์ยังเล่าอีกว่า กว่าจะจบปริณญาเอกได้นั้น อาจารย์ก็ได้พบเจอกับอุปสรรคและความยากลำบากเช่นกัน เนื่องด้วยอาจารย์รับหน้าที่สอนอยู่ที่มหาลัยแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ และต้องขับรถไปเรียนปริณญาเอกไกลถึงพิษณุโลก ซึ่งบ้างครั้งในวันอาทิตย์ก็ต้องทำงานกลุ่มจนดึกดื่นถึงเที่ยงคืน จากนั้นก็ต้องรีบขับรถกลับมาสอนหนังสือที่เชียงใหม่ตอนแปดโมงเช้า จนในที่สุดอาจารย์ก็สามารถทำตามที่ตนเองมุ่งหวังเอาไว้
ปัจจุบัน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิชัยณรงค์ กงแก้ว เป็นอาจารย์ประจำสาขาวิชาพลศึกษา คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งอาจารย์มีความเชี่ยวชาญในด้านพลศึกษา/ สุขศึกษา/ การส่งเสริมสุขภาพ/ กิจกรรมทางกาย/ การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ รวมถึงกีฬาภูมิปัญญาไทยเพื่อการต่อสู้ป้องกันตัว/ กีฬาสากล ซึ่งในตอนนี้อาจารย์สอนกีฬาไทยเป็นหลัก ได้แก่ มวยไทย กระบี่กระบอง และดาบไทย ส่วนกีฬาสากล ได้แก่ เทเบิลเทนนิส นอกจากนี้อาจารย์ยังได้นำประสบการณ์การสอนวิชาพลศึกษามาตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 มาใช้ในการสอนในกระบวนวิชาวิธีสอนพลศึกษา นอกจากนี้อาจารย์ยังมีวิธีการสอนตามแบบฉบับของตัวอาจารย์เอง คือ “การเรียนแบบมองเหรียญทั้งสองด้าน” น่าสนใจมาก ๆ เลยใช่มั้ยคะ หากอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร สามารถเข้าไปสัมผัสได้ในกระบวนวิชาของอาจารย์ได้เลยค่ะ
เราได้อ่านชีวประวัติของอาจารย์ซึ่งได้แสดงถึงตัวตนของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิชัยณรงค์ กงแก้ว ไปพอสมควรแล้ว ต่อไปเราจะมาดูผลงานของอาจารย์กันต่อเลยค่ะ
อันดับแรกเราจะยกบทความของอาจารย์มาสัก 2 บทความนะคะ
อาจจะยังไม่หนำใจสำหรับผู้อ่านที่มีความสนใจทางด้านการกีฬา อาจารย์พิชัยณรงค์ยังเป็นเจ้าของตำราหลายเล่ม ซึ่งผู้อ่านสามารถค้นหาชื่อตำราได้ตามที่ได้ยกตัวอย่างมาข้างล่างนี้
นอกจากนี้ อาจารย์ชัยณรงค์ยังมีงานวิจัยที่น่าสนใจอยู่มาก ได้แก่
นอกเหนือจากงานภายในรั้วมหาวิทยาลัย อาจารย์พิชัยณรงค์ยังมีประสบการณ์ด้านอื่น ๆ ที่สำคัญ เช่น
ที่ปรึกษาองค์กรบอดี้การ์ดแห่งประเทศไทยประจำภาคเหนือ
ที่ปรึกษาทีมบอดี้การ์ดเชียงใหม่ Puma Team
วิทยากรมวยไทย สมาคมกีฬามวยไทยและมวยโบราณ ขั้นผู้ช่วยปรมาจารย์ ระดับ 15 มงคลสีทอง-เงิน
อุปนายกสมาคมกีฬาดาบไทยและกระบี่กระบอง
ประธานหรือคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬา เทเบิลเทนนิส เทนนิส กรีฑา ว่ายน้ำแฮนด์บอล วอลเลย์บอล ดาบไทยและกระบี่กระบอง เซปักตะกร้อ ตะกร้อลอดห่วง เป็นต้น
สำหรับประสบการณ์ในต่างประเทศ อาจารย์พิชัยณรงค์ เคยไปศึกษาดูงานการบริหารจัดการกีฬาหลังการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ประเทศลาว และได้ไปรนำเสนอผลงานวิจัยการแบบโปสเตอร์ในหัวข้อการจัดการกีฬาที่ประเทศเวียดนาม
ในส่วนของรางวัลที่ อาจารย์พิชัยณรงค์ ได้รับได้แก่
ความภาคภูมิใจในชีวิตของอาจารย์ คือ “การสอน” โดยเฉพาะการได้สอนในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรียกได้ว่าอาจารย์มีความรักในสถาบันแห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งอาจเป็นโชคชะตาที่อาจารย์ได้กลับมาสอนยังที่แห่งนี้ เป็นความโชคดีของอาจารย์ที่ได้กลับมาอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยความผูกพัน ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
หลังจากอ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าผู้อ่านหลายคนคงจะได้กำลังใจจากอาจารย์ในการทำตามเป้าหมายของตนเองให้สำเร็จ ถึงแม้จะมีอุปสรรคมากมายมาทดสอบความมุ่งมั่น หากสามารถผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาได้ ในสักวันหนึ่ง เราก็จะสามารถพูดถึงมันได้อย่างภาคภูมิใจ สำหรับคอลัมน์เปิดทำเนียบอาจารย์ EDU : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิชัยณรงค์ กงแก้ว ก็จบเพียงเท่านี้ ผู้อ่านทุกท่านก็อย่าลืมดูแลสุขภาพตนเองและป้องกันตนเองจาก COVID-19 ด้วยนะคะ